Free Cursors
WIPADA ED50105010137

WIPADA ED50105010137

You are my destiny

Tuesday, September 21, 2010

ความเป็นครู

ความเป็นครู





ใครว่าอาชีพครูไม่สำคัญ นั่งอ่านหนังสือจิตวิทยาการศึกษาหลายเล่มมาสะดุดที่เล่มนี้จะนำเนื้อหามาบอก ต่อและความน่าสนใจในหนังสือเล่มนี้เขียนพอสรุปว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ และพัฒนาการของผู้เรียน ในสภาพการเรียนการสอนหรือในชั้นเรียน เพื่อค้นคิดทฤษฏีและหลักการที่จะนำมา ช่วยแก้ปัญหาการศึกษา และส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ

จิตวิทยาการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา การสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล นักศึกษาและครู จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษา เพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนถึงปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการเรียนการสอน เหมือนกับวิศวกรที่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ โดยทั่วไปแล้ว เนื้อหาของจิตวิทยาการศึกษาที่เป็นความรู้พื้นฐานสำหลับครูและนักการศึกษา ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้

1. ความสำคัญของวัตถุประสงค์ของการศึกษาและบทเรียน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เน้น ความสำคัญของความแจ่มแจ้งของการระบุวัตถุประสงค์ของการศึกษา บทเรียน ตลอดจนถึงหน่วยการเรียน เพราะวัตถุประสงค์จะช่วยในการเรียนการสอน

2. ทฤษฎีพัฒนาการ และทฤษฎีบุคลิกภาพ เป็นเรื่องที่นักการศึกษา และครูจะต้องมีความรู้ เพราะจะช่วยให้เข้าใจเอกลักษณ์ของผู้เรียนในวัย ต่างๆ โดยเฉพาะ วัยอนุบาล วัยเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่กำลังศึกษาในโลงเรียน

3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม นอกจากมีความเข่าใจพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆแล้ว นักการศึกษาและครูจะต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มทางด้าน ระดับเชาวน์ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ เพศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนักจิตวิทยาได้คิดวิธีการวิจัยที่จะช่วยชี้ให้เห็นว่าความแตกต่าง ระหว่างบุคคลเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเลือกวิธีสอน และในการสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม

4. ทฤษฎีการเรียนรู้ นักจิตวิทยาที่สนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ นอกจากจะสนใจว่าทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วยนักเรียนให้เรียนรู้และจดจำอย่างมี ประสิทธิภาพได้อย่างไรแล้วยังสนใจองค์ประกอบเกี่ยวกับตัวของผู้เรียน เช่น แรงจูงใจ ว่ามีความสำพันธ์กับการเรียนรู้อย่างไร ความรู้เหล่านี้ก็มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน

5 ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา นักจิตวิทยาการศึกษาได้เป็นผู้นำในการบุกเบิกตั้งทฤษฎีการสอน ซึ่งมีความสำคัญและมีประโยชน์เท่าเทียมกับทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการ ช่วยนักศึกษาและครู เกี่ยวกับการเรียนการสอนสำหรับเทคโนโลยีในการสอนที่จะช่วยครูได้มากก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน

6 หลักการสอนและวิธีการสอน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เสนอหลักการสอนและวิธีการสอน ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาที่แต่ละท่านยึดถือ เช่น หลักการสอนและวิธีการสอนตาม ทัศนะนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม และมนุษย์นิยม

7 หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้จะช่วยให้นักการศึกษา และครูทราบว่า การเรียนการสอนมีประสิทธิหรือไม่ หรือผู้เรียนได้สัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละวิชาหรือหน่วยเรียน หรือไม่ เพราะถ้าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลสูง ก็จะเป็นผลสะท้อนว่าโปรแกรมการศึกษามีประสิทธิภาพ

8 การสร้างบรรยากาศของห้องเรียนและการจัดการห้องเรียนเพื่อเอื้อการเรียนรู้และช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน

เนื้อหาของหนังสือนักจิตวิทยาการศึกษาเล่มนี้จะประกอบไปด้วยความรู้พ้นฐาน ดังกล่าวทั้ง 8 ข้อผู้เขียนได้พยายามรวบรวมเรียบเรียงจากหนังสือตำราจิตวิทยาการศึกษาที่ใช้ แพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา ผลการวิจัยที่ใช้อ่างอิงเกี่ยวกับการศึกษา เรื่องการเรียนการสอนก็เป็นผลที่ได้จากการวิจัยที่ทำในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกัน ฉะนั้นผู้อ่านควรจะหาโอกาสศึกษาเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยในลักษณะเดียวกัน ที่ทำในประเทศไทย เพื่อจะพิจารณาว่าอิทธิพลขององค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสังคมไทยจะมีส่วนทำให้ ผลการวิจัยในเรื่องเดียวกันเปลี่ยนแปรไปหรือไม่

ความเป็นครู

การเป็นครูไม่ใช่แครู้ว่าวันครูคือวันที่ ๑๖ มกราคม แต่ความเป็นครูนั้นเปรียบได้กับดอกกล้วยไม้ ต้องใช้เวลานาน ต้องดูแลเอาใจใส่เราจึงจะเห็นดอกกล้วยไม้ การผลิตบุคคลในวิชาชีพครูยิ่งต้องสร้างให้งดงามมาก ให้เขาเข้าใจความเป็นครูและความเป็นครูนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องมีความรู้ทางวิชาการเพื่อจะสอนนักเรียนเท่านั้น แต่ครูยังจะต้องเป็นผู้ช่วยนักเรียนให้พัฒนาทางด้านสติ ปัญญา บุคลิกภาพ อารมณ์ และสังคมด้วย ดังนั้นครูต้องเป็นผู้ให้ความอบอุ่นแก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้มีความเชื่อและไว้ใจครู พร้อมที่จะพบครูเวลาที่มีปัญหา นอกจากนี้ครูจะต้องเป็นต้นฉบับที่ดีแก่นักเรียน ถ้าหากจะถามนักเรียนตั่งแต่ชั้นประถม จนถึงนิสิตนักศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย ว่ามีใครบ้างในชีวิตของนักเรียนที่นักเรียนยึดถือเป็นต้นฉบับ นักเรียนส่วนมากจะมีครูอยู่อย่างน้อยหนึ่งคนเป็นต้นฉบับหรือตัวแบบและนัก เรียนจะยอมรับค่านิยมและอุดมการณ์ของครู เพื่อเป็นหลักของชีวิต อิทธิพลของครูที่นักเรียนยึดเป็นต้นฉบับจะติดตามไปตลอดชีวิต

มีผู้กล่าวว่า ครูเปรียบเสมือนนักศิลปินที่ปั้นรูป เพราะครูทุกคนมีส่วนในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียน แต่ผลงานของครูไม่เหมือนกับประติมากรที่พองามแต่ละชิ้นสำเร็จก็เห็นผล งาน อาจจะตั้งให้ชมได้ หรือถ้าไม่ชอบอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมได้ ส่วนครูนั้นจะ ต้องรอจนนักเรียนกลับมาบอกครูว่าครูได้ช่วยเขาอย่างไร หรือมีอิทธิพลต่อ ชีวิตเขาอย่างไร และบางครั้งต้องรอก็เป็นการเสียเวลาเปล่าเพราะแม่ว่านัก เรียนบางคนจะคิดถึงความดีของครูแต่ก็คิดอยู่ในใจไม่แสดงออกจึงทำให้เคนทั่ว ไปรู้สึกว่าอาชีพครูเหมือนเรือจ้างมีหน้าที่ส่งคนข้ามฟากเท่านั้น ซึ่งเป็นเครื่องชี้ถึงทัศนคติทางลบที่มีต่ออาชีพครูมีส่วนทำให้บางคนตัดสิน ใจเลือกอาชีพครูเป็นอาชีพสุดท้าย

นิสิตและนักศึกษาที่เลือกการเรียนวิชาที่จะเป็นครู เมื่อเรียนจบแล้วอาจจะไม่ได้เป็นครูถ้ามีอาชีพอื่นให้เลือก ดังนั้นอาชีพครู จึงประกอบด้วยคน 2 ประเภท คือผู้ที่รักอาชีพครู และต้องการเป็นครูจริงๆ และผู้ที่ต้องเป็นครูด้วยความจำใจ ครูประเภทนี้บางคนได้พบว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีรางวันในใจที่ได้ช่วยเหลือ นักเรียนให้เรียนรู้หรือเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทั้งด้าน สติปัญญาและบุคลิกภาพ จึงทำให้รู้สึกว่าเลือกอาชีพที่ถูกแล้ว แต่ครูบางคนมี ความรู้สึกว่าตนเลือกอาชีพผิดและต้องทนอยู่เพราะอยากมีงานทำและอยากมีเงิน ใช้แต่ไม่มีความสุข ครูประเภทนี้มีอันตรายเปรียบเสมือนฆาตกรนักเรียนทางดานจิตใจอย่างเลือด เย็น ทำให้นักเรียนมีความรู้สึกต่ำต้อยและคิดว่าชีวิตของตนไม่มีค่า เป็นบุคคลที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสามารถและอาจจะต้องออกจากโรงเรียนด้วยการเรียนไม่สำเร็จ มีชีวิต ที่ประสบความผิดหวัง ไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ก้าวหน้าได้โดยครูเองก็ไม่ทราบ ดังเช่นกรณีของเด็ก ชายคนหนึ่งชื่อ แดง

เด็กชายแดงเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อหน่ายเพราะตนเองเรียนไม่ดีแม้ว่าจะพยายามก็ได้แต่ เพียงคะแนนพอผ่านเท่านั้น

ความสำคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู

วิชาจิตวิทยาการศึกษาสามารถช่วยครูได้ในเรื่องต่อไปนี้

1.ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัยของนักเรียนที่ครูต้องสอน

โดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม

2.ช่วยให้ครูมีความเข่าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน

เช่นอัตมโนทัศน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่ช่วยนักเรียนให้มีอัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร

3.ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล

เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล

4.ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก้วัยและขั้นพัฒนาการของนักเรียน

เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและมีความที่อยากจะเรียนรู้

5.ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน

เช่นแรงจูงใจอัตมโนทัศ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน

6.ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน

เพื่อทำให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้นักเรียนทุกคนเรียนตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงหัวข้อต่อไปนี้

6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำนึงถึงลักษณะนิสัยและความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของนักเรียนที่จะต้องสอน และสามารถที่จะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งคาดหวังให้นัก เรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนคือสิ่งที่จะช่วยให้นัก เรียนทราบ เมื่อจบบทเรียนแล้วนักเรียนสามารถทำอะไรได้บ้าง

6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม โดยคำนึงลักษณะนิสัยของนักเรียนและวิชาที่สอน และกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน

6.3 ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้นแต่ ใช้ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทำการสอน เพื่อทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าหรือมีปัญหาในการเรียนรู้อะไรบ้าง

7.ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่นัก

ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี เช่น การเรียนจากการสังเกตหรือการเลียนแบบ

8.ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ

รวมทั้งพฤติกรรมของครูที่มีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น การใช้คำถาม การให้แรงเสริม และการทำตนเป็นต้นแบบ

9.ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว

แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น แรงจูงใจ ทัศนคติหรือ อัตมโนทัศน์ของนักเรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน

10.ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน

ให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซึ่งกันและกันนักเรียน ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน ทำให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุขและนักเรียนรักโรงเรียน อยากมาโรงเรียน

เนื่องจากการศึกษามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เยาวชนพัฒนาการทั้งทางด้านเชาวน์ ปัญญา และทางบุคลิกภาพ เพื่อช่วยให้เยาวชนมีความสำเร็จในชีวิต ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษา ให้มีคุณภาพ มีมาตรฐานความเป็นเลศ ความรู้เกี่บวกับจิตวิทยาการศึกษาจึงสำคัญในการช่วย ทั้งครูและนักศึกษาผู้มีความรับผิดชอบในการปรับปรุงหลักสูตรและการเรียนการส อน

การบริหารจัดการในชั้นเรียน

การบริหารการจัดการในห้องเรียน

การ บริหารจัดการชั้นเรียน ประกอบด้วย ความคิดทั้งหมดทั้งหลายของครู การวางแผน การปฏิบัติของครูในการริเริ่มสร้างสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการชั้นเรียนที่ประสบความ สำเร็จ ประกอบด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการชั้นเรียนกับการจัดกิจกรรมการเรียนการส อน และความสัมพันธ์ของทั้งสององค์ประกอบเป็นความสัมพันธ์แบบ SYNERGISTIC คือ การรวมพลังให้เกิดผลลัพธ์ที่มากขึ้น นั่นคือ ความสำเร็จของการบริหารจัดการชั้นเรียน จะมีอิทธิพลต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู

แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการจัดการชั้นเรียน

1. การบริหารจัดการชั้นเรียน และการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน การบริหารจัดการชั้นเรียนไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของบทบาทความเป็นผู้นำของครู การบริหารจัดการชั้นเรียนไม่สามารถแยกจากหน้าที่การสอน เมื่อการวางแผนการสอน ก็คือ การที่ครูกำลังวางแผนการบริหารจัดการชั้นเรียนให้เกิดเป็นชุมชนแห่งการเรียน รู้

2. เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกการบริหารจัดการชั้นเรียนกับการทำหน้าที่การจัดการ เรียนการสอน รูปแบบการสอนหรือกลยุทธ์ที่ครูเลือกใช้แต่ละรูปแบบก็มีระบบการบริหารจัดการ ของมันเองและมีภารกิจเฉพาะของรูปแบบหรือกลยุทธ์นั้น ๆ ที่จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทั้งของครูและนักเรียน เช่น ถ้าครูจะบรรยายก็จำเป็นที่บทเรียนจะต้องมีความตั้งใจฟัง ถ้าจะให้นักเรียนทำงานกลุ่มวิธีการก็จะแตกต่างจากการทำงานโดยลำพังของแต่ละ คนอย่างน้อยที่สุดก็คือการนั่ง ดังนั้นภารกิจการสอนจึงเกี่ยวข้องทั้งปัญหาการจัดลำดับวิธีการสอน ปัญหาของการจัดการในชั้นเรียนปัญหาการจัดนักเรียนให้ปฏิบัติตามกิจกรรม ครูที่วางแผนการบริหารจัดการชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม ทั้งกิจกรรมการเรียนการสอนและภารกิจ ก็คือ การที่ครูใช้การตัดสินใจอย่างฉลาดทั้งเวลา บรรยากาศทางกายภาพ และจิตวิทยา ซึ่งจะทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้และลดปัญหาด้านวินัยของนักเรียน

3. การบริหารชั้นเรียนเป็นความท้าทายของการเป็นครูมืออาชีพ ความสามารถของครูในการแสดงภาวะผู้นำ ด้วยการที่สามารถจะบริหารการจัดชั้นเรียนทั้งด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การบริหารจัดการบรรยากาศในห้องเรียน การดูแลพฤติกรรมด้านวินัยให้เกิดการร่วมมือในการเรียนจนเกิดการเรียนรู้ และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร

การเตรียมตัวเพื่อการบริหารจัดการชั้นเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การบริหารจัดการชั้นเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ Kounin, J.S. (1970), Doyle and Carter (1984), Gump (1967, 1982), Rosenshine (1980), Doyle (1986), William Glasser (1986) เป็นต้น โดยสรุปการเตรียมเพื่อการบริหารการจัดการห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. ครูที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสร้างข้อกำหนดที่ชัดเจนและมีขั้นตอนการปฏิบัติที่จะนำไปสู่พฤติกรรมที่ ชัดเจน และจัดกิจกรรมในห้องเรียนให้ประสานสอดคล้องด้วยความระมัดระวังในระหว่างที่ เกิดการเปลี่ยนคาบสอนในตอนเริ่มต้นและสุดสิ้นการสอน

2. ครูที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะพัฒนาระบบในการยึดเหนี่ยวนักเรียนให้รับผิดชอบการเรียนและพฤติกรรมในห้องเรียน

3. นอกเหนือจากการจะต้องมีทักษะในการวางแผนและการดำเนินการให้เกิดความสอดคล้อง ครูก็ยังคงต้องเผชิญกับความยุ่งยากลำบากหรือนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียนที่ มักจะก่อกวนมากกว่าจะร่วมมือในกิจกรรมการเรียนรู้อีกด้วย

4. ครูที่สามารถบริหารจัดการให้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีทักษะในการเข้าไปสอด แทรกแก้ปัญหาโดยทันท่วงทีกับนักเรียนที่สร้างปัญหาและต้องดำเนินการด้วยความ ยุติธรรมด้วย

5. ครูที่สามารถบริหารจัดการได้ยอมรับในความสำคัญของอิทธิพลระหว่าง บุคคล คนแต่ละคนสามารถจะมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นได้ด้วยวิธีการ 5 วิธี คือ

5.1 ความสามารถในการควบคุมและให้รางวัลที่มีค่า

5.2 ความสามารถในการที่จะระงับการให้รางวัล

5.3 ความมีอำนาจโดยกฎหมาย ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติที่มีมาพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่

5.4 ความเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้เฉพาะทาง

5.5 ความเป็นผู้มีเสน่ห์ หรือเป็นสมาชิกของกลุ่มที่มีอิทธิพล

6. ครูสามารถจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่คาดหวังได้ด้วยการยกย่องชมเชย การให้รางวัลและการลงโทษ

7. วิธีการบริหารจัดการชั้นเรียน เป็นต้นว่า การยืนยันความถูกต้องเกี่ยวกับความประพฤติ ความคาดหวัง เมื่อครูวางแผนกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือพิจารณาว่าจะใช้พื้นที่ในห้องเรียนทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ก็คือ ครูกำลังตัดสินใจครั้งสำคัญในการพิจารณาว่าจะทำให้เกิดผลต่อระบบบริหาร จัดการชั้นเรียน ในทำนองเดียวกันทุกกลยุทธ์ที่จะสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่สร้างผลผลิต เช่น การช่วยให้ชั้นเรียนพัฒนาการทำงานเป็นกลุ่ม สร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และทำให้เกิดความซื่อสัตย์ จริงใจ เปิดเผย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดการชั้นเรียน

Wednesday, September 01, 2010

โมเดลต้นไม้


โมเดลการจัดความรู้ของ KM
โมเดลต้นไม้








ใบ คือ Know More ต้องรู้ให้มากขึ้น

จากสิ่งเดิมความรู้เดิม

เราจะต้องมาสนใจให้มากขึ้น

เรียกว่าเป็นการรู้ของเดิมให้รอบด้านมากกว่าเดิม



ลำต้น คือ Know Main การรู้หลัก

เราจะต้องรู้หลักการเรื่องของความรู้

จะต้องเข้าใจแก่นสาร เรื่องความรู้

ต้องรู้ว่า พัฒนาการของความรู้

ราก คือ Know Mind รู้ตน เป็นหัวใจสำคัญ

ของการจัดการความรู้ เราจะต้องรู้จักตนเอง

รู้จริต เรื่องการเรียนรู้ของตนเอง




Wednesday, August 25, 2010

แนะนำงานวิจัยมาตรฐานวิชาชีพครู 9 ข้อ



ผลการใช้โปรแกรมส่งเสริมการเห็นคุณค่าในตนเอง
ด้านบทบาทครูวิจัยและสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนที่มีต่อนักศึกษาครู
ในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูแบบเต็มรูป

ผู้แนะนำวิจัย
กมลทิพย์ อุดมภ์









การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างทักษะการปฏิบัติวิชาชีพ
เพื่อพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม สำหรับครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ผู้แนะนำ
วนิตรา อยู่ยงค์





งานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา

ในสถานศึกษาที่เปิดสอนระดับมัธยมศึกษา

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต2

มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการในห้องเรียน

การสร้างอารมณขันของครู

ความเป็นผู้มีอารมณ์ขัน (Being Humorous)

ครูต้องมีความสามารถในการสอดแทรก

อารมณ์ขันในทางสร้างสรรค์ที่จะทำให้การเรียนการสอนนั้นสนุกสนาน ไม่เคร่งเครียด









Monday, August 16, 2010

เนื้อหาในรายวิชา ศ433 ยุธศาสตร์การจัดการความรู้ ต่อ

รูปแบบของการเรียนรู้
ระดับที่ 1 การเรียนรู้ข้อเท็จจริง (Learning to be facts)
ระดับที่ 2 การเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะ (Learning to be skills)
ระดับที่ 3 การเรียนรู้เพื่อการปรับปรุง (Learning to adapt)
ระดับที่ 4 การเรียนรู้เพื่อเรียนรู้ (Learning to learn)
- วัฒนธรรมการเรียนรู้
- มุ่งอนาคต
- แลกเปลี่ยนข้อมูล
- มุ่งเรียนรู้เพื่อพัฒนา
- คุณค่าของบุคคล
- บรรยากาศเปิดและไว้วางใจ
- เรียนรู้จากประสบการณ์


มาตราฐานความรู้วิชาชีพครู
มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยี
ครูจะต้องให้ภาษาที่มีความถูกต้อง สามารถใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบในการเรียนการสอน
มาตรฐานที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษาจะต้องมีเป้าหมายเป็นของตนเองที่จะเป็นจุดยืนในจัดแนวทางการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน
มาตรฐานที่ 3 การจัดการเรียนเรียนรู้
ครุจะต้องจัดการเรียนรู้ให้ตรงกับเป้าหายของสถานศึกษาและเพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู
ครูจะต้องเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน

มาตรฐานที่ 5 การวัดละประเมินผลการศึกษา
ครูจะต้องใช้วิธีการวัดและประเมินผลด้วยวิธีและเครื่องมือที่หลากหลาย

มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการในห้องเรียน
ครูจะต้องจัดสถานที่ให้เหมาะสม วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอนต้องเพียงพอ เป็นต้น
มาตรฐานที่ 7 การวิจัยทางการศึกษา
ครูจะต้องมีการทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อที่จะเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนหรือเป็นการหาทาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชั้นเรียน
มาตรฐานที่ 8 นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
ครูจะต้องมีการทำสื่อเพื่อใช่เป้ฯส่วนหนึ่งในกรเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น
มาตรฐานที่ 9 ความเป็นครู
พื้นฐานของความเป็นครูนั้นจะต้องมีความรู้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้



กุญแจสู่ความสำเร็จของ KM

1. ผู้นำ
หมายถึง ผู้เริเริ่ม การกำหนด ทุกคนสามารถเชื่อผู้นำได้ เช่น ในโรงเรียนผู้อำนวยการเป็นผู้กำหนดนโยบาย
2. วัฒนธรรมขององค์กร
หมายถึง เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง คือมีส่วนที่มองเห้นและมองไม่เห็น
มองเห็น – กิจกรรม, การจัดการ มองไม่เห็น – ความเชื่อ ความศรัทธา
3. ระบบการจัดการ – เช่นคอมพิวเตอร์, เอกสาร
4. ทรัพยากร
5. ทีมงาน
6. ประชามติ – ความเห็นพ้อง, การยอมรับร่วมกัน



ปัจจัยในการจัดการกลยุทธ์และการปฏิบัติการ (m)
1. Money – เงิน
2. Men – บุคลากร
3. Manage - การจัดการ
4. Material - วัสดุอุปกรณ์
5. Motivation - แรงบันดาลใจ
6. Method - แผนการ
7. Multimedia - มัลติมีเดีย
8. Message - การสื่อสาร
9. Memory - ความจดจำ
10. Move – ปลี่ยนแปลง, เคลื่อนไหว
11. Map - แผนที่
12. Moral – คุณธรรม, จริยธรรม
13. Minute - เวลา

กระบวนการจัดการความรู้



กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process)




กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process)
เป็นกระบวนการแบบหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงขั้นตอนที่ทำให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้
1) การบ่งชี้ความรู้ – เช่นพิจารณาว่า วิสัยทัศน์/ พันธกิจ/ เป้าหมาย คืออะไร

และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องรู้อะไร , ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง,
อยู่ในรูปแบบใด, อยู่ที่ใคร
2) การสร้างและแสวงหาความรู้ – เช่นการสร้างความรู้ใหม่,

แสวงหาความรู้จากภายนอก, รักษาความรู้เก่า, กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ - เป็นการวางโครงสร้างความรู้

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้ อย่างเป็นระบบในอนาคต
4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ – เช่นปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน,

ใช้ภาษาเดียวกัน, ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
5) การเข้าถึงความรู้ – เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้นั้นเข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT), Web board ,

บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ – ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจจัดทำเป็น เอกสาร, ฐานความรู้, เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit Knowledge อาจจัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน, กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม, ชุมชนแห่งการเรียนรู้, ระบบพี่เลี้ยง, การสับเปลี่ยนงาน, การยืมตัว, เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
7) การเรียนรู้ – ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน

เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จาก สร้างองค์ความรู้>นำความรู้ไปใช้>เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง


Wednesday, August 11, 2010

เนื้อหาในรายวิชา ศ433 ยุธศาสตร์การจัดการความรู้

วิธีสอน/กิจกรรม

-active learning
-concept mapping learning
-brain based learning
-field based learning


จุดประสงค์การเรียนรู้

-เรียนรู้
-ริเริ่ม
-รับวัฒนธรรมการเรียนรู้และการตัดสินใจ
-เร่งรัด
-ร่วมมือ

การจัดการความรู้ในเชิงกลยุทธ์

สร้างสรรค์ สื่อสาร สำเร็จ
AIM – เป้าหมาย
ADAPT – ประยุกต์, ปรับปรุง, พัฒนา


วิธีสอน/กิจกรรม

1. ACTIVE LEARNING --
คือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวน การคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป (ไปลงภาคสนาม)
2. CONCEPT MAPPING LEARNING --
การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด
3. FIELD BASED LEARNING --
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ห้องสมุด หรือห้องคอมพิวเตอร์
4. BRAIN BASED LEARNING --
การใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสมองเป็นเครื่องมือในการออกแบบ กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์

Wednesday, July 28, 2010

แนะนำหนังสือเกี่ยวกับวิชาชีพครู


ชื่อเรื่อง ธรรมะเกร็ดแก้ว
ผู้แต่ง ท่าน ว.วชิรเมธี





ครูคือ นัก "เจียระไน" มิใช่ "ตุลาการ"

ยังจำคำปรามาสที่ครูคนหนึ่งประทับตราให้แก่ไอน์สไตน์ได้หรือไม่

สำหรับผู้เขียนแล้ว ครูคนนี้ไม่สมควรถูกตำหนิเสียทีเดียว แต่ควรได้รับคำชมด้วยเหมือนกัน ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าที่ไอน์สไตน์พยายามสอบเข้านั่นสอบเข้านี่ตั้งหลายครั้งหลายหน บางทีนั่นอาจเป็นเพราะว่าเขากำลังต้องการเอาชนะคำปรามาสของครูคนนั้นอยู่ก็ เป็นได้ และถ้านี่คือ วิธีคิดของไอน์สไตน์ ครูคนนี้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าพ่อผู้ซื้อเข็มทิศให้เขาตอนเด็ก ๆ ลุงผู้จุดประกายให้ไอน์สไตน์สนใจพีชคณิต และผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีแห่งซูริก สวิตเซอร์แลนด์ คนนั้น




☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



ชื่อเรื่อง ครูสร้างชาติ
ผู้แต่ง นิธิ วติวุฒิพงศ์








หนังสือเล่มนี้ได้ รวบรวมแง่คิดที่ควรค่าแก่การศึกษา ของคณะครูอาจารย์และผู้บริหาร ๒๕ โรงเรียนรางวัลพระราชทาน "โครงการรางวัลบัณณาสสมโภช" ที่สามาถนำมาปรับใช้เพื่อการปฎิรูปการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นการถ่ายทอดแนวคิดและเทคนิควิธีการของแต่ละโรงเรียน ในการเอาชนะเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ จนกระทั่งสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้กับ สถานศึกษาอื่นๆ ทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี



☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



ชื่อเรื่อง ครูไหวใจร้าย
ผู้แต่ง ผกาวดี อุตตโมทย์



นหนึ่งครูไหวก็ไม่สบาย...
เข้าโรงพยาบาลผ่าตัด...
ตอนนี้เองที่ทำให้ทุกๆคนที่รู้สึกกลัวครูไหว...
เพิ่งเข้าใจความรู้สึกตัวเองว่า แค่กลัว ไม่ได้เกลียด...
ที่สำคัญรักครูไหวด้วย...
ต่างพากันเป็นห่วงครูไหว...
หาทางช่วยเหลือครูไหวทุกทาง...
แม้แต่ลูกศิษย์ที่อยู่ไกลก็มาช่วย
ลูกศิษย์ที่ไม่ดีก็กลับตัวเป็นคนดีเพื่อครูไหว
ทุกคนทำเพื่อครูไหว...



☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕


-ชื่อเรื่อง จิตวิทยาในห้องเรียน : การสอน

ผู้แต่ง ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว



เนื้อหาประกอบด้วย
เหตุการณ์การสอน
การกระตุ้นความตั้งใจ
การบอกจุดมุ่งหมาย
การเสนอสิ่งที่จะให้เรียน
การชี้แนะ
การให้ตัวเสริมแรง
การประเมินการกระทำ
การกระตุ้นให้ดึงออกมาใช้
วิธีสอนแบบต่างๆ
แบบบรรยาย
แบบอภิปราย
แบบกลุ่มผึ้ง ฯลฯ

☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕


-ชื่อเรื่อง ครูมืออาชีพตามมาตรา 24

ผู้แต่ง สกศ




เนื้อหาประกอบด้วย

การจัดกระบวนการเรียนรู้ ฝึกทักษะ กระบวนการคิด

การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ประสบการณ์

การจัดการสอนโดนผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ



☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



-ชื่อเรื่อง ประติมากรรมชีวิต

ผู้แต่ง คำอ้าย เดชดวงตา


เนื้อหาประกอบด้วย
คุณลักษณะครูภูมิปัญญาไทย

ความใฝ่รู้ความช่างสังเกต

ความเป็นนักคิด
วิธีการและกระบวนการถ่ายทอดความรู้
ผลกระทบต่อการศึกษาชุมชน


☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



- ชื่อเรื่อง สอนให้เป็นอัจริยะ
ผู้แต่ง เกียรติวรรณ อมาตยกุล



เนื้อหาประกอบด้วย

การศึกษาแบบใหม่กับเด็ก
วิกฤตการณ์ในห้องเรียน
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอวิธีการพัฒนาคนแนวใหม่ที่จะช่วยให้คนเราได้นำความสามารถ
ที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนเราทุกคนมีอกาสเป็น อัจฉริยและมีความสุข

☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



- ชื่อเรื่อง ครูในฐานะผู้นำทางวัฒนธรรม (Teacher as Cultural Workers)
ผู้แต่ง Paulo freire



เนื้อหาประกอบด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
คุณลักษณะอันจำเป็นสำหรับครูหัวก้าวหน้าที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดีกว่าเดิม
การทำให้นักเรียนได้ยินสิ่งที่เราพูด
เอกลักษณ์วัฒนธรรมกับการศึกษา

☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕



-ชื่อเรื่อง การศึกษาพอเพียง
ผู้แต่ง ดร.สุวัฒน์ วิวัมนานนท์



เนื้อหาประกอบด้วย

การจัดการศึกษาพอเพียงตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
การศึกษาตามแนวพระราชดำริมีหลักหรือจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาสร้างองค์ความรู้ความคิด
วิธีหรือแนวทางจัดการศึกษา
☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕
- ชื่อเรื่อง ครูประจำชั้นมืออาชีพ
ผู้แต่ง สุปราณี จิราณรงค์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




เนื้อหาประกอบด้วย
1. ลักษณะครูที่ดี ตามแนวคิดของ เฮสซองและวีคส์ (Hessong and Weeks)
2.คุรุสภาในฐานะองค์กรวิชาชีพครูได้กำหนดแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ.2539
จรรยาบรรณข้อที่ 1 ครูต้องรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจ ในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
จรรยาบรรณข้อที่ 2 ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
จรรยาบรรณข้อที่ 3 ครูต้องประพฤติปฎิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกายวาจา และจิตใจ
จรรยาบรรณข้อที่ 4 ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์
จรรยาบรรณข้อที่ 5 ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฎิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ใช้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
จรรยาบรรณข้อที่ 6 ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ
จรรยาบรรณข้อที่ 7 ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู
จรรยาบรรณข้อที่ 8 ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์
จรรยาบรรณข้อที่ 9 ครูพึงประพฤติ ปฎิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย


3.ครูประจำชั้นมืออาชีพ
ในการสอนแต่ละคาบ ครูจะต้องเตรียมการดังนี้
1. ครูต้องเตรียมนักเรียนให้พร้อมก่อนสอน
2. ครูควรมีขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
3. ขั้นสอนครูควรสอนให้ตรงประเด็น
4. เวลาสอนครูควรสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนทุกคนว่าเป็นอย่างไร
5. ก่อนจบการสอนทุกครั้งควรมีการสรุปแนวคิดที่สำคัญของบทเรียน
6. ทำบันทึกหลังการสอนเพื่อเก็บข้อมูล
7. มีการประเมินผลการเรียนการสอน



☼ ♂ ♀ ♠ ♣ ♥ ☺ ☻ ☼ ↔ ↕































































































































































Thursday, January 25, 2007

Rue de Siam


La rue de Siam est l'artère principale du centre-ville de Brest.
Elle doit son nom au débarquement de trois ambassadeurs du roi de Siam dans ce port, le 18 juin 1686. Accompagnés de six mandarins, trois interprètes, deux secrétaires et une vingtaine de domestiques, chargés de nombreux présents, ils venaient rendre visite au roi Louis XIV à Versailles. Venus par mer, ils avaient voyagé à bord de l'Oiseau et de la Maligne.
Empruntant à pied la rue Saint-Pierre pour se rendre à l'hôtel du même nom, ils émerveillèrent les Brestois qui rebaptisèrent leur rue. À noter que la rue de Siam d'avant la
Seconde Guerre mondiale était bien plus étroite que la rue de Siam d'aujourd'hui.
Elle est citée par
Jacques Prévert dans son poème Barbara.


ฟังเพลง Wake Up
Powered by you2play.com